เทคนิคการเลือกซื้อหลอดไฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน

1. โทนสีของแสง

แสงสว่างของหลอดไฟแต่ละดวงนั้นมีโทนสีที่แตกต่าง ซึ่งส่งผลให้ความรู้สึกทางอารมณ์ และสร้างบรรยากาศให้ห้องนั้นๆ แตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละห้อง อีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมองเห็น ดังนั้นการเลือกโทนสีของหลอดไฟในการใช้งานให้เหมาะสมก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะนอกจากจะอำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมให้เราแล้วยังส่งผลต่อสุขภาพของเราด้วย เช่น การอ่านหนังสือ การพักผ่อน เป็นต้น โทนสีของหลอดไฟมีให้เลือก 3 ประเภท

หลอดไฟ Warm White

            ประเภท Warm White ที่มีอุณหภูมิสีประมาณ 2,500 – 3,300 เคลวิน เหมาะกับการนำไปใช้ในห้องนอน ห้องน้ำ ห้องรับแขก ให้แสงโทนส้ม ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ผ่อนคลาย เป็นกันเอง ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังคือสีที่สะท้อนกลับมาจะไม่ตรงกับสีจริง เช่น สีขาวอาจจะกลายเป็นสีออกนวลๆ หรือหากนำมาติดในบริเวณโต้ะเครื่องแป้งที่คุณผู้หญิงจะต้องใช้เป็นที่แต่งหน้า อาจจะทำให้การแต่งหน้ามีสีที่ผิดเพี้ยนไปได้

 หลอดไฟ Cool White

            ประเภท Cool White ที่มีอุณหภูมิสี 4,000 เคลวิน อยู่ระหว่างแบบ Warm White และ Daylight White เป็นสีโทนเย็น แสงที่ได้จะเป็นสีค่อนไปทางขาว มองแล้วเกิดความรู้สึกสบายตา ซึ่งนิยมใช้ในร้านค้าต่างๆ เพื่อทำให้สินค้ามีสีสันที่ดูสดใสขึ้น

หลอดไฟ Daylight White

ประเภท Daylight White ที่มีอุณหภูมิสี 6,000 – 6,500 เคลวิน ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นสีที่มีความใกล้เคียงกับสีธรรมชาติ จึงทำให้สีของวัตถุไม่เกิดความผิดเพี้ยน นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกถึงความสดใสช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่อมากขึ้น

             การเลือกใช้งานหลอดไฟในบ้านของทั้ง 3 โทนสีนี้ยังสามารถผสมผสานรวมกัน เพื่อไม่ให้โทนสีใดสีหนึ่งเด่นเกินไปได้อีกด้วย เช่น การเลือกใช้หลอดไฟประเภท Warm White ผสานกับแบบ Cool White ในห้องทานข้าวจะช่วยให้บรรยากาศดูอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังส่งเสริมให้อาหารดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น หรือการใช้หลอดไฟโทน Warm White เพื่อเน้นเฟอร์นิเจอร์ให้ดูโดดเด่นท่ามกลางแสง Daylight เป็นต้น

2. การเลือกขั้วหลอดไฟให้เหมาะสม

การเลือกประเภทขั้วหลอดไฟเป็นขั้นตอนหนึ่งที่ค่อนข้างมีความสำคัญ เพราะหากเลือกหลอดไฟที่ขั้วไม่สอดคล้องกับโคมไฟ หรือรางหลอดไฟ อาจจะส่งผลเสียและเกิดความเสียหายได้ ซึ่งขั้วของหลอดไฟนั้นจะแตกต่างกันไปตามประเภทของหลอดไฟนั้นๆ และสัมพันธ์กับการใช้งานพื้นที่ต่างๆ ภายในบ้าน หลอดไฟที่ดีควรช่วยประหยัดไฟ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน สำหรับประเภทหลอดไฟที่นิยมใช้ในบ้านทุกวันนี้มี 3 ประเภทใหญ่ ได้แก่

หลอดไส้

            หลอดไส้เป็นหลอดไฟประเภทที่ใช้หลักการปล่อยพลังงานไฟฟ้าผ่านขดลวดแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนจัดจนเปล่งแสงออกมา ปัจจุบันมีพัฒนาการโดยบรรจุสารตระกูลฮาโลเจนเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน หรือที่รู้จักกันในนามหลอดทังสเตนฮาโลเจน หลอดชนิดนี้นิยมใช้เพื่อเน้นบรรยากาศในห้อง หรือบริเวณที่ต้องการความสว่างเป็นพิเศษ เช่น ใช้ในตู้โชว์ หรือส่องรูปภาพบนผนังให้โดดเด่น เป็นต้น

หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์

            หรือที่รู้จักกันในนามหลอดตะเกียบ หลอดไฟประเภทนี้ใช้การส่งผ่านประจุอิเล็คตรอนจากขั้วลบผ่านสารเรืองแสงที่ใช้เคลือบหลอดไฟไปยังขั้วบวกเพื่อทำให้เกิดแสงสว่าง เป็นหลอดที่นิยมใช้งานเนื่องจากมีอายุการใช้งานยาวนาน ให้แสงสว่างสูง และประหยัดไฟได้ 75% – 80% ของหลอดไส้ ซึ่งหลอดไฟในบ้านชนิดนี้สามารถติดตั้งให้แสงสว่างทั่วไปทั้งภายใน และภายนอกอาคาร รวมถึงบริเวณที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้นานๆ เช่น ประตูรั้วหน้าบ้าน

หลอดไฟ LED ในบ้าน (Light Emitting Diodes)

            หลอดประเภทนี้เป็นแสงประดิษฐ์ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นหลอดไฟขนาดเล็กที่สุดแต่ให้แสงสว่างได้ดี แถมยังไม่แผ่ความร้อนจึงช่วยยืดอายุการใช้งานของหลอดยาวนานขึ้น หลอดไฟในบ้านประเภท LED นี้สามารถเปิด-ปิดได้บ่อยครั้งโดยไม่เสื่อมสภาพไปตามจำนวนการกดสวิตช์

นอกจากนี้หลอดไฟ LED ยังไม่มีการปล่อยรังสียูวี ที่สามารถทำร้ายผิว และสายตาของเรา รวมถึงทำให้เฟอร์นิเจอร์บางประเภทมีอายุการใช้งานสั้นกว่ากำหนด อีกทั้งหลอดไฟประเภทนี้ยังไม่ปล่อยก๊าซอันตรายอีกด้วย โดยเราสามารถใช้หลอดไฟ LED ได้ในทุกๆ จุดของบ้าน ทั้งในรูปแบบของการให้แสงสว่างทั่วไป และ Lighting Design เพื่อทำให้บ้านมีมิติไม่จำเจ     ด้านความคุ้มค่า นอกจากอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลอดไฟแบบอื่นๆแล้ว ในปัจจุบันหลอดไฟแอลอีดี (LED) ที่ใช้ในบ้านยังมีราคาถูกลง จับต้องได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย

3. การเลือกหลอดไฟที่ปรับการใช้งานได้ตามความต้องการ เช่น หรี่ไฟ ปรับโทนสี

ห้องในบ้านนั้นใช้สำหรับการพักผ่อน หรือการทำงาน ดังนั้นในการเลือกหลอดไฟให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับระดับความสว่างของไฟ การปรับโทนสีของแสง จึงมีความสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ห้องนั้นได้อย่างมีความคุ้มค่า หลอดไฟที่ประหยัดไฟได้มากที่สุดคือหลอดไฟ LED แต่เนื่องจากบ้านนั้นไม่ได้มีหลอดไฟเพียงจุดเดียว จึงควรคำนึงถึงการกินไฟ หรือจำนวนวัตต์ ให้เหมาะสม เพราะหลอดไฟแต่ละปรเภทก็มีค่าพลังงานวัตต์ที่แตกต่างกัน

4. จำนวนวัตต์

วัตต์ (Watt หรือ W) คือ หน่วยวัดกำลังไฟฟ้าที่เป็นตัวบอกอัตราการกินไฟของหลอดไฟ เช่น หลอดไฟ 100 วัตต์ หมายความว่า หลอดกินไฟ 100 วัตต์ต่อชั่วโมง อธิบายง่ายๆคือ ยิ่งวัตต์มากก็ให้แสงที่สว่างมาก และผลที่ตามมาก็กินไฟมากเช่นกัน ดังนั้นจึงมีการคิดค้นหลอดประหยัดไฟขึ้นมา เช่น หลอด LED ถึงแม้จะมีราคาแพง แต่ถ้าเทียบกับค่าไฟในระยะยาวก็ถือว่าคุ้ม เพราะกินไฟน้อยหลอดไส้หลายเท่าตัว แต่ให้ความสว่างได้เท่ากับหลอดไฟที่มีกำลังวัตต์มาก แถมอายุการใช้งานยังยาวนานกว่าอีกด้วย ฉะนั้นเวลาเลือกหลอดไฟทั่วไปก็ดูที่วัตต์มากก็สว่างมาก ส่วนหลอด LED เค้าก็จะเขียนว่าวัตต์เท่านี้ เทียบเท่าความสว่างของหลอดไส้ทั่วไปกี่วัตต์

5. การเลือกหลอดไฟที่ให้ระดับความสว่างเหมาะกับพื้นที่

ความสว่างที่ไม่เหมาะสมนอกจากจะทำให้ mood and tone ของบ้านไม่เป็นดั่งใจเราแล้ว ยังอาจส่งผลเสียถึงปัญหาสุขภาพได้อีก เช่น มุมอ่านหนังสือในบ้านหากมีแสงสว่างไม่เพียงพออาจจะทำให้สายตาเสียได้ หรือมุมที่เราต้องการใช้พักผ่อนมีแสงสว่างมากเกินไปจะทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อน เป็นต้น ดังนั้นการเลือกหลอดไฟที่ให้ความสว่างที่เหมาะสมจึงเป็นเหตุผลที่สำคัญอีกเหตุผลหนึ่ง

ที่มา :

https://www.nirvanadaii.com/th